พระราชวังแวร์ซาย (Palace of Versailles) เป็นพระราชวังที่ได้ชื่อว่าเป็นที่สุดของความหรูหรา อลังการในฝรั่งเศส และคือแลนมาร์คระดับตัวท็อปของกรุงปารีส ด้วยความที่เป็นพระราชวังที่ใหญ่โตและงดงามนั้น ที่นี่จึงได้บันทึกเป็นมรดกโลก เมื่อปี พ.ศ. 2522 ซึ่งในเขตพระราชวังแบ่งเป็น 3 ส่วน 1.อาคารพระราชวัง 2.บริเวณสวน 3.วัง Trianon และหมู่บ้านจำลอง Queen’s Hamlet
เดิมนั้นเมืองแวร์ซายเป็นเมืองที่มีพื้นที่ป่ามาก พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 จึงได้เสด็จมาล่าสัตว์ที่เมืองนี้อยู่บ่อยครั้ง และได้สร้างพระตำหนักพักชั่วคราวขึ้น ต่อมาในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ขึ้นครองบัลลังก์ ประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังใหม่เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางการปกครองของพระองค์ จึงได้บูรณะปรับปรุงพระตำหนักเดิม ด้วยเงิน 500,000,000 ฟรังก์ และใช้เวลาปรับปรุงถึง 30 ปี
อาคารพระราชวัง
โซนแรกที่เราเดินชมกันเป็นส่วนของอาคารพระราชวัง ตัวอาคารนั้นสร้างในสไตล์บารอก เน้นหินอ่อนเป็นส่วนใหญ่ และเพิ่มความหรูหราด้วยการตกแต่งสีทอง บอกได้คำเดียวว่า อลังการดาวล้านดวงจริงๆ อาคารพระราชวังมีเนื้อที่ประมาณ 70,000 ตร.ม. ในอาคารแบ่งเป็น 700 ห้อง แต่ละห้องมีการตกแต่งภายในที่สวยสะดุดแทบจะไม่ซ้ำกันเลย อีกทั้งมีภาพวาด 6,123 ภาพ และงานแกะสลักทั้งหมด 15,034 ชิ้น ซึ่งเพื่อเป็นการง่ายต่อการรับข้อมูลรายละเอียดของแต่ละห้อง แวะรับเครื่องบรรยาย(Audio guide)ได้ตั้งแต่ช่วงทางเข้าเลยเน้อ



The Upper Vestibule of the Chapel ห้องโถงขนาดใหญ่เชื่อมต่อกันตั้งแต่ชั้น 1 ขึ้นมายังชั้น 2 ภายในห้องนี้มีออร์แกนชุดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้องโถง แน่นอนว่าทุกคนที่เดินผ่านจะต้องสะดุดตากับความสวยงามของห้องนี้ได้ตั้งแต่เริ่มเดินเข้าอาคารชั้น 1 เลยทีเดียว

ห้อง The Hercules Salon เป็นห้องส่วนหน้าของพระราชวัง มีขนาดใหญ่ ภายในตกแต่งด้วยหินอ่อนทั้งห้องและมีภาพวาดที่สวยงามวิจิตรขนาดใหญ่มากประดับทั้งผนังและบนเพดาน เงยหน้ามองภาพกันจนปวดคอเลยล่ะเธอ ^^”



ห้อง Mars Salon ตกแต่งด้วยสีสันฉูดฉาดสีแดงทั้งห้อง เป็นห้องแรกที่จะเข้าในส่วนที่พำนักของกษัตริย์ จึงใช้ห้องนี้ในการวางกำลังการรักษาความปลอดภัยก่อนเข้าส่วนพำนักของกษัตริย์นั่นเอง



มาถึงห้องที่เรียกได้ว่าเป็นพระเอกของส่วนพระราชวังเลยก็ว่าได้ นั่นคือ ห้องกระจก (Hall of Mirrors) ตัวห้องมีความยาว 73 เมตร ตกแต่งด้วยกระจกบานใหญ่ 17 บาน และกระจกบานเล็กรวม 357 บาน สามารถมองชมบริเวณสวนภายนอกผ่านกระจกได้เลย ด้านประวัติศาสตร์นั้นห้องกระจกแห่งนี้เคยใช้เป็นห้องลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับจักรวรรดิเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 และใช้เป็นที่ลงนามในครั้งเยอรมนีบุกตีชนะฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2

และหากใครได้ชมละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” จะมีกล่าวถึงห้องกระจกไว้ด้วย เมื่อครั้นที่คุณพี่หมื่นของการะเกดเดินทางติดตามคณะฑูตของเจ้าพระยาโกษา ปาน ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชไปเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ณ พระราชวังแวร์ซาย
คุณพี่หมื่นได้บันทึกไว้ว่า “กำหนดการให้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ ที่ท้องพระโรงใหญ่พระราชวังแวร์ซายส์ ในห้องกระจก เป็นห้องหินอ่อนมีหน้าต่างบุด้วยกระจกเจียระไนสูงแต่พื้นจรดเพดาน ด้านละ 17 บาน ระย้าแก้วเจียระไน จุดเทียนสว่างไสวห้อยย้อยจากเพดาน สวยงามพราวแพรวไปทั้งห้อง สมชื่อ ห้องกระจก”




บริเวณสวน
บริเวณสวน ถือว่าเป็นอีกโซนที่ไม่ควรพลาด เพราะเป็นสวนที่ตกแต่งสวยงามถูกจัดสรรขึ้นเพื่อให้คู่ควรกับความงดงามของพระราชวัง โดยพื้นที่สวนนั้นมีพื้นที่มากถึง 8 ล้าน ตร.ม. แบ่งโซนออกเป็นหลายโซน มีทั้งสระน้ำ สวนดอกไม้ ลานน้ำพุ อาทิเช่น น้ำพุ Apollo, Latona และ Neptune เป็นต้น


ออกจากตัวพระราชวังมาทางด้านหลังจะเข้าสู่บริเวณพื้นที่สวน ซึ่งสวน Orangery จะอยู่ทางซ้ายมือ เป็นสวนที่ไม่ได้เปิดให้ลงไปเดิมชมน๊า แต่สามารถมองเห็นการตกแต่งสวนอย่างสวยงามได้จากมุมสูง




หากต้องการชมความสวยงามของบริเวณ The Gardens และ The Park แบบไม่ต้องเดินเยอะให้เมื่อยน่อง เค้ามีบริการรถไฟชมสวนด้วยน๊าๆๆๆๆ (ลักษณะรถไฟคันน้อยๆที่เรานั่งตามสวนสัตว์งี้) เกร๋กรุ๊บอยู่ อยากแวะจุดไหนก็ลงได้ตามป้าย สนนราคาคนละ 8 ยูโรโดยประมาณ ซึ่งจุดขึ้นรถไฟน้อยอยู่หลังอาคารพระราชวัง เดินออกมาจากพระราชวังจะอยู่ฝั่งขวามือ ซื้อตั๋วได้ที่นั่นเลย จบปิ๊ง
การเดินทาง
พระราชวังแวร์ซายตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงปารีส ระยะทางราว 22 กิโลเมตร เราเลือกเดินทางจากปารีสด้วยรถไฟ RER สาย C จากสถานี Javel และไปลงที่สถานี Gare de Versailles Château – Rive Gauche ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ถือว่าไม่ได้ไกลมาก ออกจากสถานี Gare de Versailles Château – Rive Gauche เลี้ยวซ้าย จะเจอสี่แยกไฟแดงและเลี้ยวขวาอีกที เดินตรงไปเรื่อยๆประมาณ 1 กิโลเมตร จะเจอพระราชวังใหญ่โตอยู่ตรงหน้าเลยจ้า

พระราชวังแวร์ซาย จุดหมายที่ใครๆต่างอยากจะมาชมความงดงาม ซึ่งสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยคือคนจะเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆ แบบมากจริงๆ เราไปถึงบริเวณหน้าทางเข้าประมาณ 10.30 น. คือคนเยอะมั่กมากแล้ว ถ้าซื้อตั๋วธรรมดาคิดว่าน่าจะได้เข้าไปด้านในคงต้องต่อแถวอีกประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งไม่ไหวค่ะ เบนเข็มไปซื้อตั๋ว Express ดีกว่า ประเมินหน้างานแล้วว่า ตั๋วแพงกว่านิดนุงแต่แถวรอช่อง Express สั้นกว่า เยอะเลยย

เราเดินดุ่มๆไปต่อแถวซื้อตั๋ว ตอนนั้นหางแถวอยู่นอกอาคาร คิดว่าเข้าไปในอาคารก็คงได้ซื้อตั๋วเลยงี้ เตรียมเงินไว้รอแล้วด้วยนะ 55555 พอแถวลดเดินไปเห็นในอาคาร คือลมจิจับคร้าๆๆ แถวขดอยู่ในอาคารอย่างกับงู สรุปต่อแถวซื้อตั๋ว Express ไปอีก 1 ชั่วโมง ราคาตั๋วคนละ 27 ยูโร จุกๆยืนรอแบบจุกๆไปค่ะ ^^” ในส่วนของเวลาเปิด-ปิดของพระราชวังนั้น เปิด 9.00 – 17.30 น. และวันจันทร์พระราชวังแวร์ซายปิดน๊าาา เพื่อความชัวร์เข้าไปเช็ควันเปิดปิดและจองตั๋วออนไลน์ในลิ้งนี้ได้เลย >> https://en.chateauversailles.fr/
เราวางแผนที่จะมาเที่ยวชมพระราชวังแวร์ซายไว้ 1 วันเต็มๆ เพราะคิดว่าพื้นที่กว้างและน่าจะใช้เวลาค่อนข้างนานในการเก็บ detail โดยรวมเราคิดว่าคุ้มนะ ตัวพระราชวังสวยสมราคามรดกโลกจริงๆ งานนี้ไม่ได้อวย ถ้าใครมาที่ปารีสแล้วไม่ได้มาแวะที่พระราชวังแวร์ซายนะ ถือว่ามาไม่ถึงปารีสเด้อ ^^